ฟังอัลกุรอาน | บทความ | ไฟล์เสียง | สไลด์ | วีดีโอ | หนังสือ | ตอบปัญหา | soundcloud

-----------------------------------------------------------

وَاذْكُرُوا نِعْمَةَ اللَّـهِ عَلَيْكُمْ وَمِيثَاقَهُ الَّذِي وَاثَقَكُم بِهِ إِذْ قُلْتُمْ سَمِعْنَا وَأَطَعْنَا ۖ وَاتَّقُوا اللَّـهَ ۚ إِنَّ اللَّـهَ عَلِيمٌ بِذَاتِ الصُّدُورِ ﴿٧﴾ ?

5:7. และจงรำลึกถึงความกรุณาเมตตาของอัลลอฮ์ที่มีต่อพวกเจ้า และสัญญาของพระองค์ที่ได้ทรงกระทำมันไว้แก่พวกเจ้า ขณะที่พวกเจ้ากล่าวว่า พวกเราได้ยินแล้ว และพวกเราเชื่อฟังแล้ว และพึงยำเกรงอัลลอฮ์เถิด แท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงรอบรู้ถึงสิ่งที่อยู่ในทรวงอก

การละหมาดตะรอวิหฺ

การละหมาดตะรอวิหฺ : ความหมาย, จำนวนร็อกอะฮฺ, ระยะเวลา และรูปแบบการละหมาด

เชคริฎอ อะหมัด สมะดี

ความประเสริฐ

การละหมาดกลางคืนเป็นอิบาดะฮฺที่เป็นเอกลักษณ์ของประชาชาติอิสลาม มุสลิมคือผู้ที่ฟื้นฟูช่วงกลางคืนด้วยการอิบาดะฮฺต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ไม่เหมือนคนอื่นที่มักใช้ช่วงกลางคืนเพื่อความสนุกสนานหรือนอนหลับ อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงทำให้กลางคืนเป็นเสมือนเครื่องอาภรณ์และเป็นเวลาส่วนตัว ดังที่พระองค์ตรัสว่า

وَجَعَلْنَا اللَّيْلَ لِبَاساً
ความว่า “และเราได้ทำให้กลางคืนเสมือนเครื่องปกปิดร่างกาย” (อันนะบะอฺ 78/10)

اللَّيْلَ لِتَسْكُنُواْ فِيهِ ... هُوَ الَّذِي جَعَلَ لَكُمُ
ความว่า “พระองค์คือผู้ทรงประทานกลางคืนให้แก่พวกท่าน เพื่อพวกท่านจะได้พักผ่อน ...” (ยูนุส 10/67)

อัลกุรอานได้เรียกร้องให้บรรดาผู้ศรัทธาฟื้นฟูช่วงเวลากลางคืนบางส่วนด้วยการลุกขึ้นละหมาด อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา สั่งท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ตั้งแต่ได้รับวะฮียฺช่วงแรก ๆ ให้ลุกขึ้นละหมาดกลางคืนทั้งคืนหรือส่วนหนึ่ง

يَا أَيُّهَا الْمُزَّمِّلُ ﴿١﴾ قُمِ اللَّيْلَ إِلَّا قَلِيلاً ﴿٢﴾
ความว่า “โอ้ผู้คลุมกายเอ๋ย จงยืนขึ้น (ละหมาด) เวลากลางคืน เว้นแต่เพียงเล็กน้อย” (อัลมุซซัมมิล 73/1-2)

และเป็นเอกลักษณ์ของผู้ศรัทธาที่จะเข้าสวรรค์ในวันกิยามะฮฺ

﴿١٨﴾ كَانُوا قَلِيلاً مِّنَ اللَّيْلِ مَا يَهْجَعُونَ ﴿١٧﴾ وَبِالْأَسْحَارِ هُمْ يَسْتَغْفِرُونَ
ความว่า “พวกเขาเคยหลับนอนแต่เพียงส่วนน้อยของเวลากลางคืน และในยามรุ่งสางพวกเขาขออภัยโทษ (ต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา )”[1] (อัซซาริยาต 51/17-18) ช่วงท้ายของกลางคืน (อัสฮาร) มีซุนนะฮฺในการกล่าวอิสติฆฟาร ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของชาวสวรรค์ และเป็นช่วงเวลาดุอาอฺมุสตะญาบ (ดุอาอฺถูกตอบรับ)

ซอฮาบะฮฺบอกว่าท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ไม่ชอบการพูดคุยหลังอิชาอฺ แต่มีรายงานว่าท่านนบี เคยนั่งคุยกับท่านอบูบักร อัศศิดดีก ถึงเรื่องราวของประชาชนหลังละหมาดอิชาอฺ อุละมาอฺจึงตีความว่าท่านนบี ไม่ชอบให้พูดคุยเรื่องไร้สาระหลังละหมาดอิชาอฺ แต่สามารถพูดคุยประเด็นที่มีสาระและความจำเป็นได้ เพื่อให้เวลากลางคืนผ่านไปตามเจตนารมณ์ของอัลอิสลามเท่าที่กระทำได้

ในเดือนรอมฎอน บรรดาอัสสะละฟุศซอลิหฺและนักวิชาการจะหยุดสอนวิชาอื่นนอกจากอัลกุรอาน เพื่อรักษาให้กิจการในเดือนรอมฎอนมุ่งสู่เรื่องอิบาดะฮฺเพียงอย่างเดียว

นอกจากนี้ ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ยังให้ความสำคัญกับบางคืนในเดือนรอมฎอนเป็นพิเศษ ดังที่ท่านกล่าวว่า “และผู้ใดยืนละหมาดในคืนอัลกอดรฺ อัลลอฮฺ จะให้อภัยโทษต่อความผิดที่ทำในอดีต” (แสดงถึงความพิเศษอีกระดับหนึ่งของคืนอัลกอดรฺ) เมื่อท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ย้ำเช่นนี้ เราจึงต้องเข้าใจว่าการศึกษาเรื่องการละหมาดกิยามุลลัยลฺในเดือนรอมฎอนนั้นไม่ด้อยไปกว่าการศึกษาวิธีถือศีลอดหรือวิธีการละหมาด

ความเป็นมา

คำว่า “ตะรอวิหฺ” ซึ่งหมายถึงการละหมาดกิยามุลลัยลฺในเดือนรอมฎอน มาจากการพักระหว่างยืนละหมาด 4 ร็อกอัต ซึ่งเรียกว่า “ตัรวีฮะหฺ” ในสมัยท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ส่วนมาก (รวมทั้งเยาวชน) จะใช้ไม้เท้าพยุงยืนละหมาด เพื่อรักษาผลบุญที่มากกว่าการนั่งละหมาดซึ่งได้เพียงครึ่งหนึ่ง

หะดีษของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม บังคับให้ละหมาดฟัรฎูที่มัสญิด ใครมีความสามารถต้องไป ถ้าไม่ไปอาจถูกสงสัยว่าเป็นมุนาฟิก และถึงขั้นที่ท่านนบีขู่จะเผาบ้านคนที่ไม่ไปละหมาดมัสญิด แต่สำหรับละหมาดซุนนะฮฺทุกประเภท ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ส่งเสริมให้ละหมาดที่บ้าน ส่วนมากท่านนบีจะละหมาดซุนนะฮฺที่บ้าน ดังที่ท่านได้พูดชัดเจนว่า “การที่คนหนึ่งคนใดละหมาดที่บ้าน ดีกว่าการละหมาดที่มัสญิด ยกเว้นฟัรฎู”

อุละมาอฺได้ยกเว้นละหมาดบางประเภทที่เป็นซุนนะฮฺมุอักกะดะฮฺหรือฟัรฎูกิฟายะฮฺที่สมควรละหมาด เช่น ละหมาดกูซูฟ (สุริยคราสหรือจันทรคราส) ละหมาดญะนาซะฮฺ (ถ้าจะละหมาดที่มัสญิด) (ตามซุนนะฮฺท่านนบี ละหมาดญะนาซะฮฺที่มุศ็อลลา ท่านนบี เคยละหมาดญะนาซะฮฺที่มัสญิดเพียงครั้งเดียวเพื่อบอกว่าละหมาดได้)

ในรอมฎอนปีช่วงท้ายชีวิตของท่านนบี ท่านได้ถือศีลอดและละหมาดกิยามุลลัยลฺที่บ้าน ซอฮาบะฮฺได้รายงานว่าท่านนบี ส่งเสริม เรียกร้อง และกระตุ้นให้พวกเราละหมาดกิยามุลลัยลฺที่บ้านโดยไม่บังคับ บรรดาซอฮาบะฮฺก็ละหมาดที่บ้าน และบางคนละหมาดที่มัสญิดแต่ไม่ใช่ญะมาอะฮฺ จนครั้งหนึ่งที่ท่านนบี ได้ออกมาละหมาดที่มัสญิด

มีหะดีษของอบูซัร บันทึกโดยอิมามอบูดาวูด “เราได้ถือศีลอดกับท่านนบี เดือนรอมฎอน จนถึงคืนที่ 24
(เหลืออีก 7 วัน) ท่านนบี นำละหมาดที่มัสญิดช่วง 1 ใน 3 ของกลางคืน[2] คืนที่ 25 ไม่ได้ละหมาด ต่อมาคืนที่ 26 ท่านนบี นำละหมาดตะรอวิหฺจนผ่านไปครึ่งกลางคืน(ประมาณ 5 ชั่วโมง 30 นาที) อบูซัรได้ขอร้องให้ท่านนบี ละหมาดจนถึงซุบฮฺ เพื่อจะได้ละหมาดทั้งคืน ท่านนบี จึงได้ตอบว่า “แท้จริง เมื่อคนหนึ่งคนใดละหมาดพร้อมอิมามจนสำเร็จ จะถูกบันทึกเสมือนละหมาดตลอดคืน”[3] ต่อมาคืนที่ 27 ไม่ได้ละหมาด คืนที่ 28 ท่านนบี เชิญชวนครอบครัวและผู้คนละหมาดตะรอวิหฺ ท่านได้นำละหมาดจนกระทั่งเรากลัวว่าจะไม่ทันรับประทานอาหารสะฮูร และคืนที่เหลือท่านนบี ไม่ได้ละหมาดกับเรา”

สาเหตุที่ท่านนบี ไม่นำละหมาดญะมาอะฮฺที่มัสญิดเป็นประจำ ท่านหญิงอาอิชะฮฺ رضي الله عنها ได้ให้เหตุผลไว้ มีปีหนึ่ง ท่านนบี ละหมาดคืนหนึ่งแล้วเว้น ซอฮาบะฮฺมาเรียกให้ท่านนบี ออกมานำละหมาด แต่ท่านไม่ออก ตอนเช้า ท่านนบี ได้บอกว่า “ฉันเห็นคนเต็มมัสญิดรอฉันนำละหมาด แต่ฉันตั้งใจไม่ออกไปนำละหมาด เพราะเกรงว่าจะถูกบัญญัติให้การละหมาดตะรอวิหฺเป็นวาญิบ และพวกท่านคงไม่ไหว”

แสดงว่าตลอดชีวิตท่านนบี ไม่มีการละหมาดตะรอวิหฺที่มัสญิดเป็นประจำ มีเพียงบางครั้งบางคราว แต่เมื่อท่านนบี เสียชีวิตแล้ว จึงไม่มีโอกาสบัญญัติให้การละหมาดนี้เป็นวาญิบ

สมัยท่านอบูบักรไม่มีการเปลี่ยนแปลง คือใครอยากละหมาดที่บ้านก็ทำ ใครจะละหมาดที่มัสญิดก็ได้ แต่ไม่เป็นญะมาอะฮฺเดียว ละหมาดคนเดียวบ้างหรือเป็นกลุ่มบ้าง หรือมีอิมามนำละหมาดให้เป็นบางครั้ง ช่วงแรกของคิลาฟะฮฺอุมัรก็เช่นเดียวกัน จนครั้งหนึ่งท่านอุมัรเข้ามัสญิดเห็นคนละหมาดตะรอวิหฺกันหลายกลุ่ม แล้วมีความคิดว่าถ้ารวมกันน่าจะดีกว่า จึงแต่งตั้งให้อุบัย อิบนิ กะอฺบ เป็นอิมามประจำมัสญิดสำหรับผู้ชาย และแต่งตั้งตะมีม อัดดารียฺ ให้เป็นอิมามสำหรับผู้หญิง นั่นคือในสมัยท่านอุมัรเริ่มรวมเหลือ 2 ญะมาอะฮฺ เป็นหลักฐานว่าจัดอิมามให้เฉพาะสำหรับผู้หญิง

การละหมาดตะรอวิหฺที่บ้านสามารถทำได้ [4] เพราะสมัยท่านนบี และสมัยท่านอบูบักรก็ทำ และหากที่มัสญิดไม่จัดอิมามนำละหมาด ก็สามารถตั้งญะมาอะฮฺหลายกลุ่มที่มัสญิดได้ แต่อุละมาอฺบอกว่าอย่าให้รบกวนกัน เพราะเคยปรากฏในสมัยท่านนบี มีการอ่านอัลกุรอานกวนกันในมัสญิด ท่านนบี บอกว่า “พวกท่านอย่าอ่านอัลกุรอานเสียงดังซึ่งกันและกัน (อย่ากวนกันด้วยอัลกุรอาน)” เราต้องการความสงบในการอ่านอัลกุรอาน จะอ่านเพื่อรบกวนคนอื่นไม่ได้ หากอยู่กันหลายคนก็อ่านด้วยเสียงพอให้ตัวเองได้ยิน


จำนวนร็อกอัต

เป็นบทบัญญัติสำหรับกิยามุลลัยลฺทั่วไป (รวมทั้งตะรอวิหฺในเดือนรอมฎอน) ที่อุละมาอฺทั้งหมดบอกว่าท่านนบี ไม่เคยละหมาดเกิน 11 ร็อกอัต หะดีษจากท่านหญิงอาอิชะฮฺ رضي الله عنها บันทึกโดยอิมามบุคอรียฺและมุสลิม “ท่านนบี ไม่เคยละหมาดในเดือนรอมฎอนและนอกเดือนรอมฎอนมากกว่า 11 ร็อกอัต ท่านนบี จะละหมาด 4 ร็อกอัต (ทีละ 2 ร็อกอัต) ไม่ต้องถามเลย ว่าท่านนบี ละหมาดยาวและสง่างามอย่างไร[5] และละหมาดอีก 4 ร็อกอัต (ทีละ 2 ร็อกอัต) ท่านอย่าถามถึงความสวยงามและความยาวของมัน และต่อมาละหมาดอีก 3 ร็อกอัต”

(คุณค่าของหะดีษนี้อยู่ที่ผู้รายงานหะดีษคือท่านหญิงอาอิชะฮฺ رضي الله عنها ซึ่งนิกะฮฺกับท่านนบี ตั้งแต่ก่อนอพยพ (อยู่ที่มักกะฮฺ) และเข้าอยู่บ้านเดียวกันเมื่ออพยพมาอยู่ที่มะดีนะฮฺ ท่านหญิงอาอิชะฮฺ رضي الله عنها อยู่กับท่านนบี โดยตลอด และถือศีลอดด้วยกันตั้งแต่ปีฮิจญเราะฮฺศักราชที่ 1-11 (ปีที่ท่านนบีเสียชีวิต) ในเดือนรอมฎอนส่วนมากท่านนบี ละหมาดที่บ้าน ดังนั้นคนที่รู้ลักษณะการละหมาดของท่านนบี มากที่สุดคือภรรยาของท่าน และท่านนบี ชอบอยู่บ้านท่านหญิงอาอิชะฮฺ رضي الله عنها บางครั้งภรรยาคนอื่นสละสิทธิ์ให้ท่านนบี ไปอยู่บ้านท่านหญิงอาอิชะฮฺ رضي الله عنها เพราะรู้ว่าท่านนบี รักมากกว่า ปรับความหึงเพราะรักท่านนบี และอยากให้ท่านได้สิ่งที่รักมากที่สุด ดังนั้น คนที่รู้ความลับของท่านนบี มากที่สุดคือ ท่านหญิงอาอิชะฮฺ رضي الله عنها เป็นที่ยอมรับในบรรดาภรรยานบี และซอฮาบะฮฺ)

สำหรับรายงานที่ว่าท่านนบี ไม่เคยละหมาดมากกว่า 13 ร็อกอัต อุละมาอฺตีความ 2 ร็อกอัตที่เกินมา ทรรศนะหนึ่งบอกว่าเป็นละหมาดซุนนะฮฺหลังอิชาอฺ ส่วนอีกทรรศนะหนึ่งบอกว่าเป็น 2 ร็อกอัตเฉพาะของกิยามุลลัยลฺที่ท่านนบี จะละหมาดเร็วเพื่อเป็นการเตรียมตัวที่จะละหมาดยาวนานต่อไป

ท่านนบี เคยละหมาดต่ำกว่า 11 ร็อกอัต มีรายงานของซอฮาบะฮฺและถ้อยคำที่ท่านนบี แนะนำผู้อื่นให้ทำเช่นกัน หะดีษบันทึกโดยอิมามอบูดาวูดและอิมามอะหฺมัด ท่านหญิงอาอิชะฮฺ رضي الله عنها ถูกถามว่า “ท่านนบี ละหมาดกลางคืนพร้อมด้วยวิตรฺกี่ร็อกอัต” ท่านหญิงตอบว่า “บางครั้งท่านนบี ละหมาด 4 ร็อกอัต (ทีละสอง) และวิตรฺ 3 ร็อกอัต (2-1) บางครั้งละหมาด 6 ร็อกอัต (ทีละสอง) และวิตรฺ 3 ร็อกอัต (2-1) และบางครั้งละหมาด 10 ร็อกอัต (ทีละสอง) และวิตรฺ 3 ร็อกอัต (2-1) ท่านนบี ไม่เคยละหมาดน้อยกว่า 7 ร็อกอัตและไม่เคยละหมาดมากกว่า 13 ร็อกอัต”

หะดีษบันทึกโดยอิมามเฏาะฮาวียฺ ท่านนบี บอกว่า “วิตรฺเป็นสัจธรรม[6] ใครอยากละหมาดกิยามุลลัยลฺพร้อมวิตรฺ 5 ร็อกอัตก็ได้ หรือ 3 ร็อกอัตก็ได้ หรือ 1 ร็อกอัตก็ได้”

อุละมาอฺสรุปว่า การละหมาดกิยามุลลัยลฺสูงสุด 13 หรือ 11 ร็อกอัต และต่ำสุด 1 ร็อกอัต (ซอฮาบะฮฺที่ปฏิบัติวิตรฺ 1 ร็อกอัตคือ มุอาวียะฮฺ อิบนุ อบูซุฟยาน เคยมีสงครามระหว่างมุอาวียะฮฺกับอะลี มีคนเห็นมุอาวียะฮฺละหมาดกิยามุลลัยลฺ 1 ร็อกอัต จึงไปบอกอิบนิอับบาสซึ่งอยู่ฝ่ายอะลี เพราะหวังให้อิบนิอับบาสตำหนิมุอาวียะฮฺ แต่อิบนิอับบาสบอกว่า “ปล่อยเขา เขามีความรู้”)


ระยะเวลา

บางครั้งท่านนบี ละหมาด 1 ใน 3 ของคืน บางครั้งครึ่งคืน และบางครั้งละหมาดทั้งคืน ไม่มีเวลาตายตัว (แต่ส่วนมากจะละหมาด 1 ใน 3 ของคืน แล้วแต่ความเหมาะสม) บางครั้งหนึ่งร็อกอัตเท่ากับซูเราะฮฺอัลมุซซัมมิล (ประมาณ 20 อายะฮฺ) บางครั้งเท่ากับ 50 อายะฮฺ หะดีษท่านนบี กล่าวว่า

مَنْ قَامَ بِعَشْرِ آيَاتٍ لَمْ يُكْتَبْ مِنَ الْغَافِلِيْن ، وَمَنْ قَامَ بِمِائَةِ آيَةٍ كُتِبَ مِنَ الْقَانِتِيْن ،
وَمَنْ قَامَ بِأَلْفِ آيَةٍ كُتِبَ مِنَ الْمُقَنْطِرِيْن . صحيح الجامع الصغير وزياداته
“ผู้ใดตื่นละหมาดกลางคืนด้วย 10 อายะฮฺ จะไม่ถูกบันทึกว่าเป็นผู้หลงลืม (จากหลักการของอัลลอฮฺ ) และผู้ใดตื่นละหมาดกลางคืนด้วย 100 อายะฮฺ จะถูกบันทึกว่าเป็นกอนิตีน (ยืนละหมาดนาน) และผู้ใดละหมาดกลางคืนด้วย 1,000 อายะฮฺ จะถูกบันทึกว่าเป็นมุกอนฏิรีน (ได้รับผลบุญมหาศาล)”

คืนหนึ่งท่านนบี ป่วย แต่ได้ละหมาดกิยามุลลัยลฺด้วยซูเราะฮฺอัลบะเกาะเราะฮฺ อาลิอิมรอน อันนิซาอฺ อัลมาอิดะฮฺ อัลอันอาม อัลอะอฺรอฟ และอัตเตาบะฮฺ[7] และมีเรื่องของท่านฮุซัยฟะฮฺ อิบนุ ยะมาน ที่ขอค้างกับท่านนบี คืนหนึ่ง และได้ละหมาดกับท่านนบี อ่านอัลบะเกาะเราะฮฺ อันนิซาอฺ และอาลิอิมรอนในร็อกอัตเดียว อ่านช้า ๆ

ในสมัยท่านอุมัร ที่แต่งตั้งให้อุบัย อิบนิ กะอฺบ นำละหมาดที่มัสญิด อุบัยอ่านอายะฮฺนับหลักร้อย จนคนที่มาละหมาดด้วยใช้ไม้เท้า และจะไม่กลับบ้านจนกว่าใกล้อะซานซุบฮฺ อุละมาอฺบอกว่าการนำละหมาดที่มัสญิดสมควรดูว่าคนทั่วไปสามารถละหมาดได้ยาวนานแค่ไหน แต่หากเป็นมัสญิดหรือมุศ็อลลาที่คนละหมาดสมัครใจละหมาดยาวมากก็สามารถทำได้

การละหมาดกิยามุลลัยลฺเริ่มตั้งแต่เวลาหลังละหมาดอิชาอฺจนถึงเวลาอะซานซุบฮฺ การละหมาดก่อนอิชาอฺมีรูปแบบที่บางครั้งซอฮาบะฮฺปฏิบัติ คือ การละหมาดระหว่างมัฆริบและอิชาอฺทีละ 2 ร็อกอัตเท่าที่ทำได้ เรียกว่า “อิหฺยาอุมาบัยนัลอิชาอัยนฺ” เป็นซุนนะฮฺกลางคืนอีกอย่างหนึ่ง ไม่ใช่กิยามุลลัยลฺ

หะดีษบันทึกโดยอิมามมุสลิม ท่านนบี กล่าวว่า “ใครที่กลัวจะไม่ตื่นช่วงท้ายของคืน ให้ละหมาดวิตรฺก่อนนอน และใครที่หวังว่าจะตื่นละหมาดตอนดึก ให้วิตรฺตอนดึก[8] เพราะการละหมาดช่วงสุดท้ายของกลางคืน เป็นการละหมาดที่มีผู้เป็นพยานให้ (หมายถึงอัลลอฮฺ [9] หรือบรรดามลาอิกะฮฺ) และการละหมาดกลางคืนนั้นประเสริฐยิ่ง”

ส่วนใหญ่ที่มัสญิดจัดละหมาดคือช่วงแรกของกลางคืน การละหมาดญะมาอะฮฺกับอิมามมีความประเสริฐเสมือนละหมาดตลอดคืน แต่การละหมาดในช่วงสุดท้ายที่บ้านก็มีความประเสริฐ ดังนั้นควรปฏิบัติแบบใด?

เชคอัลบานียฺบอกว่า “การละหมาดญะมาอะฮฺที่มัสญิดมีความประเสริฐกว่า เพราะจะถูกบันทึกว่าละหมาดตลอดคืน (รวมถึงช่วงสุดท้ายของคืนด้วย) และนี่คือการปฏิบัติของบรรดาซอฮาบะฮฺเช่นเดียวกัน” แต่เชคอัลบานียฺคลาดเคลื่อนนิดหน่อยในการตีความหะดีษที่ว่า ในสมัยท่านอุมัรได้มีการแต่งตั้งอิมามที่มัสญิดนำละหมาดช่วงแรกของคืน ท่านอุมัรออกมากับซอฮาบะฮฺท่านหนึ่งแล้วบอกว่า “การละหมาดเช่นนี้ดี แต่การละหมาดช่วงที่พวกเขากลับบ้านไปนอนพักผ่อนนั้นดีกว่า คนส่วนมากละหมาดช่วงแรกของกลางคืน” เชคอัลบานียฺอ้างคำพูดที่ว่า “คนส่วนมากละหมาดช่วงแรกของคืน” แต่ท่านอุมัรไม่ได้ละหมาดช่วงนั้น มีรายงานหะดีษหนึ่งว่า ท่านอุมัรไม่ได้ร่วมละหมาดกับอิมามที่มัสญิด แต่ละหมาดที่บ้านช่วงสุดท้ายของกลางคืน ดังนั้นจะฟันธงว่าการละหมาดช่วงแรกเป็นการปฏิบัติของซอฮาบะฮฺทั้งหมดไม่ได้ ถึงแม้ซอฮาบะฮฺส่วนมากปฏิบัติ แต่เมื่อเทียบแล้วท่านอุมัรมีน้ำหนักมากกว่าซอฮาบะฮฺธรรมดา

อุละมาอฺมีทรรศนะที่แตกต่างกันเรื่องละหมาดที่มัสญิดหรือที่บ้านประเสริฐกว่า ท่านนบี บอกว่าละหมาดซุนนะฮฺที่บ้านดีกว่าและละหมาดช่วงสุดท้ายของกลางคืนดีกว่า แต่อีกหะดีษหนึ่งท่านนบี บอกว่าการละหมาดกับอิมามที่มัสญิดได้ผลบุญเท่ากับการละหมาดตลอดคืน จึงมีทรรศนะที่ยึดหะดีษนี้ว่าละหมาดที่มัสญิดดีกว่า เพราะไม่มีอะไรสมบูรณ์กว่าการละหมาดตลอดคืน

ทรรศนะที่ 2 บอกว่าละหมาดที่บ้านดีกว่า โดยยึดตามหะดีษของท่านนบี ที่บอกว่าละหมาดซุนนะฮฺทุกประเภทที่บ้านดีกว่า และละหมาดช่วงสุดท้ายของคืนดีกว่า ส่วนการละหมาดที่มัสญิดท่านนบี ไม่ได้ใช้คำว่า “อัฟฎอลลฺ-ประเสริฐ” เพียงแต่บอกว่าได้รับผลบุญเท่าการละหมาดตลอดคืน

ทรรศนะที่ 3 คือทรรศนะของอุละมาอฺที่ได้ให้แง่คิดว่า หากรู้ว่าการละหมาดที่บ้านช่วงสุดท้ายของคืนมีคุชูอฺมากกว่าและยาวกว่าที่มัสญิด นั่นดีกว่าและได้ผลบุญมากกว่า แต่ถ้ารู้ว่าละหมาดที่มัสญิดยาวกว่านั่นย่อมดีกว่า เพราะความประเสริฐไม่ใช่ในด้านเวลาอย่างเดียว แต่รวมถึงจำนวนและความสมบูรณ์ด้วย

การละหมาดตามอิมามที่บะแลหรือมุศ็อลลาก็ถือว่าเป็นมัสญิด แต่มีคิลาฟว่ามัสญิดบ้าน[10] ถือว่าเป็นมัสญิดหรือไม่ เพราะมีหะดีษบางบทเรียกว่าเป็นมัสญิด ดังที่ซอฮาบะฮฺท่านหนึ่งกล่าวว่า “ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม สั่งให้กำหนดมัสญิดที่บ้านของเราและรักษาความสะอาดด้วย” และเป็นที่ปฏิบัติของบรรดาซอฮาบะฮฺว่าในหมู่บ้านจะมีมัสญิดหรือมุศ็อลลา บางบ้านมีห้องเฉพาะสำหรับละหมาด ถึงแม้จะเรียกว่ามัสญิด อุละมาอฺบางท่านบอกว่าไม่ได้ผลบุญเหมือนมัสญิด ถ้าเรียกว่ามัสญิดและมีญะมาอะฮฺก็ได้ผลบุญ เพราะท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เรียกว่ามัสญิด แต่ที่เรียกว่ามัสญิดสมบูรณ์คือ เป็นที่วะกัฟของมัสญิด ไม่ได้อยู่อาศัยเป็นบ้าน


รูปแบบ
  • รูปแบบที่ 1 ละหมาด 13 ร็อกอัต คือ ละหมาด 2 ร็อกอัตแรกเร็วหน่อย[11] 2 ร็อกอัตต่อมายาว 2 ร็อกอัตต่อมาสั้นลง แล้วพัก ต่อมาละหมาด 2 ร็อกอัตสั้นกว่า 4 ร็อกอัตที่ผ่านไป และอีก 2 ร็อกอัตสั้นลง แล้วพัก ต่อมาละหมาด 2 ร็อกอัตที่สั้นกว่าที่ผ่านไปทั้งหมด และวิตรฺ 1 ร็อกอัต
  • รูปแบบที่ 2 ละหมาด 13 ร็อกอัต คือ ละหมาด 8 ร็อกอัตทีละสอง (ให้สลามทุก 2 ร็อกอัต) และละหมาด 5 ร็อกอัตเป็นวิตรฺรวดเดียว อุละมาอฺส่วนมากให้น้ำหนักว่าตะชะฮุดครั้งเดียวในละหมาดวิตรฺ 5 ร็อกอัต

  • รูปแบบที่ 3 ละหมาด 11 ร็อกอัต เหมือนรูปแบบที่ 1 แต่ไม่มี 2 ร็อกอัตเร็วตอนแรก คือ 2 ร็อกอัต 2 ร็อกอัต แล้วพัก 2 ร็อกอัต 2 ร็อกอัต แล้วพัก ต่อมา 2 ร็อกอัต และ 1 ร็อกอัต
  • รูปแบบที่ 4 ละหมาด 11 ร็อกอัต คือ ละหมาด 4 ร็อกอัตรวดเดียว (สลามครั้งเดียว ตะชะฮุดเดียว) อีก 4 ร็อกอัตรวดเดียว และ 3 ร็อกอัตรวดเดียว

(เชคอัลบานียฺบอกว่า ไม่มีคำตอบที่ชัดเจนในซุนนะฮฺว่าท่านนบี ละหมาด 4 ร็อกอัตรวดเดียวหรือมีตะชะฮุดด้วย แต่ที่แน่นอนว่าถ้าละหมาดวิตรฺ 3 ร็อกอัตรวดเดียวไม่ให้ตะชะฮุดร็อกอัตที่สอง เพราะมีหะดีษชัดเจนท่านนบี บอกว่า “อย่าละหมาดวิตรฺเหมือนมัฆริบ” นี่จึงเป็นทรรศนะของอุละมาอฺกลุ่มหนึ่งว่า การละหมาดซุนนะฮฺ 4 ร็อกอัตก็ให้นั่งตะชะฮุดครั้งเดียว เพราะถ้านั่งตะชะฮุด 2 ครั้งจะเป็นการเลียนแบบฟัรฎู)

  • รูปแบบที่ 5 ละหมาด 11 ร็อกอัต คือ ละหมาด 8 ร็อกอัตรวดเดียว นั่งตะชะฮุดและซอละวาตในร็อกอัตที่ 8 แล้วลุกขึ้น (ไม่ให้สลาม) ละหมาดวิตรฺ 1 ร็อกอัต ให้สลาม แล้วนั่งละหมาดอีก 2 ร็อกอัต
    (นี่เป็นลักษณะที่ท่านนบี ละหมาดกิยามุลลัยลฺที่บ้าน ไม่มีหลักฐานว่าท่านใช้ละหมาดตะรอวิหฺ น่าจะไม่เคยทำเป็นญะมาอะฮฺ ถ้าจะนำรูปแบบนี้มาละหมาดเป็นญะมาอะฮฺก็ทำได้ แต่มีคิลาฟว่าถ้าอิมามนั่งละหมาดแล้วมะมูมต้องนั่งหรือไม่ บางท่านบอกว่าต้องนั่ง บางท่านบอกว่ายืนก็ได้)
  • รูปแบบที่ 6 ละหมาด 9 ร็อกอัต คือ ละหมาด 6 ร็อกอัตรวดเดียว นั่งตะชะฮุดและซอละวาตในร็อกอัตที่ 6 แล้วลุกขึ้น (ไม่ให้สลาม) ละหมาดวิตรฺ 1 ร็อกอัต ให้สลาม แล้วนั่งละหมาดอีก 2 ร็อกอัต
    เชคอัลบานียฺบอกว่า สามารถเพิ่มเติมบางรูปแบบที่บรรจุในรูปแบบนั้น ๆ อาทิเช่น ลดจำนวนร็อกอัตจากรูปแบบดังกล่าว เช่น จากรูปแบบที่ 1 สามารถลดจำนวนเหลือ 7 ร็อกอัตได้ (2-2-2-1) หรือจากรูปแบบที่ 6 สามารถลดจำนวนเหลือ 7 ร็อกอัตได้ (4-1-2) เพราะท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “ใครจะละหมาด (รวมวิตรฺ) 5 ร็อกอัตก็ได้ ใครจะละหมาด 3 ร็อกอัตก็ได้ หรือจะละหมาดเพียง 1 ร็อกอัตก็ได้เช่นเดียวกัน”

    สำหรับการอ่านในวิตรฺ ร็อกอัตแรกท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม อ่านซูเราะฮฺอัลอะอฺลา ร็อกอัตที่ 2 อ่านซูเราะฮฺอัลกาฟิรูน และร็อกอัตที่ 3 อ่านซูเราะฮฺอัลอิคลาศ บางครั้งเพิ่มซูเราะฮฺอัลฟะลักและซูเราะฮฺอันนาสด้วย ในการบันทึกของท่านอิมามนะซาอียฺ อะหฺมัด อิสนาดซอฮีหฺ ครั้งหนึ่งท่านนบี อ่านในวิตรฺร็อกอัตสุดท้ายด้วย 100 อายะฮฺจากซูเราะฮฺอันนิซาอฺ แสดงว่าการอ่านซูเราะฮฺอัลอิคลาศในร็อกอัตสุดท้ายวิตรฺไม่ใช่วาญิบ

    การละหมาด 20 ร็อกอัตไม่ใช่บิดอะฮฺ เพราะมีรายงานชัดเจนว่าท่านอุมัรแต่งตั้งอิมามนำละหมาด 20 ร็อกอัต ไม่มีรายงานว่าท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ทำ แต่ชัดเจนว่าซอฮาบะฮฺทำ และท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม อนุโลมตามหะดีษบันทึกโดยบุคอรียฺและมุสลิม ท่านนบี กล่าวว่า “การละหมาดกลางคืนทีละสอง ๆ” ไม่ได้จำกัดจำนวน อัลกุรอานได้เปิดกว้างว่าการละหมาดกลางคืน ครึ่งคืนก็ได้ ตลอดคืนก็ได้ จึงมีโอกาสมากกว่า 11 ร็อกอัตได้ ซอฮาบะฮฺเข้าใจเจตนารมณ์ของท่านนบี และปฏิบัติเช่นนั้น อุละมาอฺบอกว่าซอฮาบะฮฺเลือกปฏิบัติความประเสริฐของการละหมาดด้วยการเลือกระหว่างจำนวนกับความยาวของการละหมาด ถ้าจะละหมาดยาวก็ลดจำนวน แต่ถ้าละหมาดสั้นก็เพิ่มจำนวน ถ้าละหมาดที่มัสญิดไม่จบแล้วไปวิตรฺที่บ้านก็ไม่ได้ผลบุญที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม บอกว่า “การละหมาดกับอิมามจนจบเหมือนละหมาดตลอดคืน”

    ถ้าที่มัสญิดละหมาดเร็วมากไม่ควรร่วมด้วย เพราะไม่ได้ผลบุญ และอาจถึงขั้นละหมาดใช้ไม่ได้ เพราะขาดความสงบซึ่งเป็นรุก่นในการละหมาด

    ละหมาดถืออัลกุรอานสามารถทำได้ ถ้ามีความต้องการ แต่ถ้าท่องจำแม่นแล้วไม่ถือดีกว่า มีรายงานว่าทาสของท่านหญิงอาอิชะฮฺ رضي الله عنها เคยละหมาดโดยถืออัลกุรอาน ท่านหญิงอาอิชะฮฺ رضي الله عنها เห็นแล้วไม่ได้ตำหนิ จึงถือว่าทำได้ แต่ไม่ถือว่าประเสริฐกว่า

    วันที่ลงบทความ : 16 ก.ย. 49

-------------------
[1]
[2] กลางคืนนับตั้งแต่มัฆริบถึงซุบฮฺ สมมติซุบฮฺตีห้าและมัฆริบหกโมง รวม 11 ชั่วโมง ดังนั้น 1 ใน 3 จึงประมาณ 3 ชั่วโมง 40 นาที นี่คือเวลาที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ละหมาดกลางคืน (ในสมัยก่อนไม่มีนาฬิกา ใช้นับเวลาด้วยการกะ เช่น ช่วงรีดนมแพะหนึ่งถ้วย ช่วงตัดต้นไม้หนึ่งต้น แต่เมื่อรับอิสลามแล้วการกะเวลาจึงเปลี่ยนไป เช่น ช่วงเวลาระหว่างกินสะฮูรกับซุบฮฺประมาณอ่านอัลกุรอาน 50 อายะฮฺ เห็นได้ว่าบรรดาซอฮาบะฮฺได้บูรณะเวลาของพวกเขาด้วยการซิกรุลลอฮฺ เพราะใช้การอ่านอัลกุรอานเป็นมาตรฐานในการกะเวลา)
[3] นี่แสดงถึงความประเสริฐของการละหมาดตะรอวิหฺกับญะมาอะฮฺที่มัสญิด ถึงแม้ไม่ได้ละหมาดตลอดคืน แต่ถือว่าสมบูรณ์ในการบันทึก
[4] สำหรับเรื่องที่ว่าแบบใดมีความประเสริฐมากกว่า จะกล่าวในเนื้อหาต่อ ๆ ไป
[5] หมายถึงละหมาดยาวมากและสวยงามมาก
[6] หมายถึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญปฏิเสธไม่ได้ หรือเป็นสิทธิของอัลลอฮฺ มัซฮับอบูฮานีฟะฮฺอ้างหะดีษนี้ว่าวิตรฺเป็นวาญิบ แต่อีกสามมัซฮับบอกว่าเป็นซุนนะฮฺ อุละมาอฺส่วนมากบอกว่า “ฮักกฺ” หมายถึงมีความสำคัญแต่ไม่ถึงขั้นวาญิบ เพราะอัลกุรอานและหะดีษบอกชัดเจนว่าฟัรฎูมี 5 เวลา
[7] ถือเป็น 7 ซูเราะฮฺยาวที่สุดในอัลกุรอานที่ถูกเรียงกัน เรียกว่า “อัซซับอุฏฏิวาน” รวมประมาณ 10 ญุซ
[8] คนที่มั่นใจว่าจะตื่นก็ให้วิตรฺช่วงท้ายดีกว่า แต่ถ้าไม่มั่นใจให้วิตรฺไว้ก่อน และถ้าตื่นก็ละหมาดทีละสองร็อกอัต (โดยไม่ต้องวิตรฺอีก)
[9] มีหะดีษรายงานจากบุคอรียฺ มุสลิม และท่านอื่น ๆ ท่านนบี กล่าวว่า “ช่วง 1 ใน 3 ส่วนสุดท้ายของกลางคืน อัลลอฮฺ จะเสด็จลงมายังชั้นฟ้าสุดท้ายของโลกนี้ และกล่าวว่าใครที่เตาบัตพระองค์จะรับ ใครขออภัยโทษจะอภัยโทษให้ และใครวิงวอนดุอาอฺข้าจะตอบรับ”
[10] คือการตั้งห้องหนึ่งเป็นบะแลหรือมุศ็อลลา เนื่องจากไม่สามารถสร้างมัสญิดหลังใหญ่ได้
[11] เชคอัลบานียฺบอกว่า 2 ร็อกอัตนี้คือซุนนะฮฺหลังอิชาอฺ หรือนับเป็น 2 ร็อกอัตเริ่มกิยามุลลัยลฺ