เชคริฎอ อะหมัด สมะดี
มิถุนายน 2551
ตำแหน่งผู้นำสูงสุดนั้นเป็นที่รู้กันดีในอิสลามว่ามีความสำคัญมาก เพราะเรื่องราวทั้งทางศาสนาและโลกนั้นจะไม่สามารถดำเนินไปได้หากปราศจากตำแหน่งนี้ อะฮฺลุซซุนนะฮฺวัลญะมาอะฮฺได้มีมติเอกฉันท์ว่า การแต่งตั้งผู้นำนั้นเป็นวาญิบและการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งที่ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างถูกต้องสมบูรณ์เป็นสิ่งที่ไม่อนุมัติในอิสลาม ดังที่หนังสือศาสนาหลายเล่มได้อธิบายถึงรายละเอียดของการดำรงตำแหน่งอัน สำคัญนี้ แต่ผู้นำในที่นี้นักวิชาการหมายถึงตำแหน่งผู้นำสูงสุดนั่นคือตำแหน่งคอลีฟะฮฺซึ่งว่างลงตั้งแต่การล่มสลายของอาณาจักรอุษมานียะฮฺ(ออตโตมัน)ซึ่งเป็นคิลาฟะฮฺสุดท้ายของอิสลาม ดังนั้นการที่นักนิติศาสตร์อิสลามกล่าวถึงผู้นำนั้นก็หมายถึงการเป็นผู้นำของมุสลิมในเมืองใดเมืองหนึ่งหรือประเทศใดประเทศหนึ่งที่มีมุสลิมอาศัยอยู่ และต้องการผู้นำเพื่อบริหารกิจการต่างๆของพวกเขา
บรรดานักนิติศาสตร์อิสลามได้อธิบายอย่างละเอียดถึงหลักเกณฑ์ของศาสนา ทั้งในเรื่องการแต่งตั้งและการถอดถอนผู้นำ อันแสดงว่าเรื่องราวเกี่ยวกับการเป็นผู้นำและการเมืองการปกครองนั้นมีอยู่อย่างมากมายในบรรดาหนังสือนิติศาสตร์อิสลามและพอเพียงสำหรับมุสลิมที่จะไม่ ต้องไปพึ่งพิงกฎหมายตะวันตกหรือรัฐธรรมนูญของผู้อื่น แต่สถานการณ์ปัจจุบันซึ่งมุสลิมถูกบังคับอยู่ภายใต้กฏหมายตะวันตกจึงทำให้ สถานภาพของมุสลิมกลายเป็นประเด็นใหม่ที่จำเป็นต้องมีการวินิจฉัยเปรียบเทียบกับสิ่งที่นักวิชาการศาสนาได้เคยอธิบายมาในอดีต
เนื่องจากช่วงที่ผ่านมานี้ได้มีการพูดถึงการถอดถอนจุฬาราชมนตรีออกจากตำแหน่ง จึงเป็นเรื่องเหมาะสมที่เราจะนำเสนอสิ่งที่บรรดานักวิชาการของอิสลามได้อธิบายไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทั้งนี้เพื่อเป็นแหล่งอ้างอิงสำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาเรียนรู้บทบัญญัติ และคำอธิบายของศาสนาในเรื่องการแต่งตั้งและถอดถอนผู้นำ
ณ ตรงนี้สิ่งที่เราควรตระหนักคือการมีผู้นำนั้นเป็นสิ่งที่ถูกบัญญัติในอิสลามเพื่อให้กิจการของโลกดำเนินได้ด้วยหลักการศาสนา ท่านอิหม่ามนะวะวียฺได้กล่าวไว้ในหนังสือเราเฎาะตุฏฏอลิบีนว่า “ประชาชาติจำเป็นต้องมีผู้นำเพื่อดำรงไว้ซึ่งศาสนา สนับสนุนแนวทางของท่านนบี อำนวยความยุติธรรมแก่ผู้ที่ถูกอธรรม เพื่อรักษาไว้ซึ่งสิทธิ และจัดการสิทธิอย่างเหมาะสม”
ดังที่อัลลอฮฺได้ตรัสว่า “โอ้ดาวู้ดเอ๋ย ! เราได้แต่งตั้งเจ้าให้เป็นตัวแทนในแผ่นดินนี้ ดังนั้น เจ้าจงตัดสินคดีต่างๆ ระหว่างมนุษย์ด้วยความยุติธรรมและอย่าปฏิบัติตามอารมณ์ใฝ่ต่ำ มันจะทำให้เจ้าหลงไปจากทางของอัลลอฮฺ” (38:26)
การสนับสนุนแนวทางของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม การช่วยเหลือและรักษาสิทธิของผู้ถูกอธรรมนั้นเป็นหน้าที่สำคัญของผู้นำ และการบกพร่องในเรื่องนี้จึงถือว่าเป็นการบกพร่องในหน้าที่และเป้าหมายของการเป็นผู้นำด้วย
ฉะนั้นผู้นำที่ไม่สนับสนุนแนวทางของท่านนบี แต่กลับเรียกร้องสู่อุตริกรรมในสังคม ไม่ดูแลเอาใจใส่ทุกข์สุขของมุสลิมผู้อยู่ในการปกครอง การปล่อยปละละเลยไม่ให้ความสำคัญกับการปฏิบัติหน้าที่ของตนเอง แม้กระทั่งการบั่นทอนสิทธิของผู้อื่นและเอนเอียงไปทางคู่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพียงเพื่ออารมณ์ของตัวเอง หรือเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เป็นความจำเป็น(วาญิบ)ในศาสนาอันเที่ยงตรงและ าตรฐานแห่งความยุติธรรม ผู้นำที่มีลักษณะเหล่านี้จำเป็นต้องถูกปลดออกจากตำแหน่งและแต่งตั้งผู้อื่น ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนถูกต้องแทนที่เขา
ท่านอัลบากิลานียฺได้กล่าวในหนังสืออัตตัมฮีดของท่านว่า “ประชาชาติได้มีมติเอกฉันท์ว่าผู้นำจำเป็นต้องถูกถอดถอนและหมดสภาพที่ต้องได้รับการเชื่อฟังหากเขาปฎิเสธศรัทธาหลังจากที่เขาได้ศรัทธา หรือละทิ้งการละหมาดและการเรียกร้องไปสู่การละหมาด แต่ทั้งนี้นักวิชาการมีทัศนะที่ไม่ตรงกันในกรณีที่ผู้นำเป็นผู้ฝ่าฝืน(ฟาซิก) ผู้อธรรม ผู้ที่ยักยอกทรัพย์สินผู้อื่น ทำร้ายผู้อื่น ทำลายความสงบสุขผู้อื่น ไม่ดำรงไว้ซึ่งบทลงโทษในศาสนา หรือขัดขวางสิทธิที่ผู้อื่นควรได้รับ จนทำให้ผู้คนส่วนใหญ่เห็นต้องถอดถอนเขา”
นักวิชาการและนักหะดีษส่วนใหญ่มีความเห็นว่าผู้นำจะไม่ถูกถอดถอนด้วยเหตุผลดังที่กล่าวมา และไม่จำเป็นต้องออกจากการเชื่อฟังของเขา แต่ต้องตักเตือนเขา ทำให้เขารู้สึกเกรงกลัว และไม่ปฏิบัติตามเขาในสิ่งที่เป็นการฝ่าฝืนอัลลอฮฺ
เรื่องนี้ท่านอัลบากิลานียฺ(ซึ่งอยู่ในกลุ่มอัลอะชาอิเราะฮฺ)ได้กล่าวอย่างชัดเจนในหนังสืออัตตัมฮีด(เป็นหนึ่งในหนังสือด้านอะกีดะฮฺของกลุ่มอะชาอิเราะฮฺ)ว่า เป็นที่เอกฉันท์ว่าจำเป็นต้องถอดถอนผู้นำหากเขาตกอยู่ในการกุฟรฺ(ปฏิเสธศรัทธา)หรือละทิ้งการดำรงไว้ซึ่งการละหมาดและไม่เรียกร้องสู่การละหมาด และเช่นเดียวกันในกรณีที่ต่อสู้ขัดขวางหลักการของอิสลาม(เช่นการเรียนรู้อัลกุรอานและซุนนะฮฺท่านนบี) ตลอดจนขัดขวางและเป็นศัตรูกับบรรดานักเผยแผ่ศาสนาและประกาศสงครามต่อต้าน บรรดาผู้รู้และคนดีมีคุณธรรม ซึ่งในกรณีนี้บรรดานักวิชาการมีความเห็นตรงกันให้ถอดถอนผู้นำเช่นนี้และไม่จำเป็นต้องเชื่อฟังเขา แต่สำหรับผู้นำที่ไม่ได้ปฏิเสธศรัทธา(กุฟรฺ)ท่านอัลบากิลานียฺระบุว่าบรรดานักวิชาการมีความเห็นไม่ตรงกันในเรื่องการไม่เชื่อฟังและการประกาศฝ่าฝืนคำสั่งผู้นำนั้น
แน่นอนว่าตำแหน่งผู้นำหรือผู้ปกครองสังคมมุสลิมเช่นในประเทศไทยมิใช่ตำแหน่งผู้นำหรือคอลีฟะฮฺสูงสุด เพราะเป็นตำแหน่งทางราชการที่เลือกบุคคลหนึ่งให้เป็นผู้นำของมุสลิมโดยไม่คำนึงถึงหลักการปรึกษาหารือกัน(ชูรอ)ในศาสนาแต่อย่างใด แต่ถูกเลือกโดยหลักประชาธิปไตย คือใช้จำนวนเสียงข้างมากสนับสนุนโดยปราศจากการพิจารณาคุณสมบัติ(ตามทัศนะ อิสลาม)ของผู้ถูกเลือกและผู้มีสิทธิเลือกผู้นำ
อย่างไรก็ตามเนื่องจากตำแหน่งดังกล่าวนั้นถูกแต่งตั้งขึ้นเพื่อเป็นผู้นำหรือตัวแทนของมุสลิม ฉะนั้นจึงไม่บังควรที่จะนำหลักการหรือกฏเกณฑ์อื่นจากกฎหมายอิสลามมาพิจารณา ถึงความถูกต้องเหมาะสมของตำแหน่งนี้
ตำแหน่งจุฬาราชมนตรี อิหม่ามมัสยิด คณะกรรมการกลางอิสลามหรือประจำจังหวัด ล้วนได้ดำรงตำแหน่งบนพื้นฐานที่พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของสังคมมุสลิมที่มี ความแตกต่างจากคนทั่วไปในประเทศทั้งทางด้านศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี และวิถีปฏิบัติ ฉะนั้นแล้วการรักษาซึ่งหลักการศาสนาในการแต่งตั้งหรือถอดถอนผู้นำจึงเป็นเรื่องที่มีความจำเป็นไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ มิเช่นนั้นแล้วก็ไม่เป็นการสมควรที่จะเรียกตำแหน่งเหล่านั้นในชื่อของอิสลาม เช่น อิหม่าม หรือชัยคุลอิสลาม เป็นต้น
สังคมมุสลิมในประเทศไทยจำเป็นต้องคำนึงถึงหลักการอิสลามเป็นอย่างแรกในการที่จะแต่งตั้งหรือถอดถอนผู้นำในสังคม ถัดจากนั้นจึงพิจารณาถึงประเด็นที่ระบุในกฎหมายทางโลกเพื่อดำเนินการตามที่ ศาสนาได้กำหนด ดังนั้นหากศาสนาได้อธิบายโดยละเอียดถึงสาเหตุที่ต้องมีการถอดถอนอิหม่าม หรือผู้นำแล้ว หลังจากนั้นเราก็ควรหาวิธีการที่จะถอดถอนผู้นำนั้นโดยใช้วิธีการทางกฎหมาย ที่เอื้อให้โดยระบอบการปกครองของประเทศ
อิหม่ามอัลมาวัรดียฺซึ่งเป็นนักวิชาการในมัซหับชาฟิอียฺได้ระบุในหนังสือที่มีชื่อเสียงของท่านคือ อัลอะหฺกาม อัซซุลฎอนิยะฮฺ (กฏเกณฑ์เกี่ยวกับการปกครอง) ถึงภาระหน้าที่ของอิหม่ามหรือคอลีฟะฮฺ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญว่า
“สิ่งที่เขา(ผู้นำ)จำเป็นต้องปฏิบัติในเรื่องทั่วๆไปนั้น มีสิบอย่าง หนึ่งในนั้นคือ การปกป้องรักษาศาสนาให้เป็นไปตามหลักการและตามสิ่งที่บรรดากัลยาณชนยุคแรก ได้มีมติเป็นเอกฉันท์ ดังนั้นหากมีผู้หนึ่งผู้ใดทำอุตริกรรมหรือสร้างความสับสน(ในเรื่องราวศาสนา) ทำให้เขวไปจากทางอันเที่ยงตรง ผู้นำจะต้องชี้แจงหลักฐานและความถูกต้องให้แก่เขา และตักเตือนให้เขาเคารพในสิทธิหน้าที่ของตนเองและผู้อื่น รวมทั้งบทลงโทษที่เขาจะได้รับหากมีการละเมิด ทั้งนี้เพื่อให้ศาสนามีความปลอดภัยและป้องกันศาสนาจากสิ่งที่ก่อความเสียหาย และเพื่อให้ประชาชาติมีความปลอดภัยจากแนวทางที่บิดเบือน
สอง - ตัดสินชี้ขาดระหว่างคู่กรณีสองฝ่าย(หรือมากกว่า)และขจัดความขัดแย้งระหว่าง พวกเขาจนกว่าความยุติธรรมจะเกิดขึ้นในสังคม และจนกว่าผู้อธรรมจะไม่ละเมิดและผู้ถูกอธรรมจะไม่ถูกรังแก
สาม - ปกป้องดูแลผู้อ่อนแอและสตรี เพื่อให้มนุษย์สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติ สามารถเดินทางโดยสวัสดิภาพ มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
สี่ - ดำรงไว้ซึ่งบทลงโทษเพื่อปกป้องสิ่งต้องห้ามในศาสนามิให้ถูกละเมิด และรักษาสิทธิของมุสลิมมิให้ถูกทำลายหรือถูกทำให้เสียหาย
ห้า - ป้องกันจุดอ่อนและสร้างป้อมปราการอันแข็งแกร่ง(ให้กับอาณาจักรอิสลาม)ด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์และสิ่งจำเป็นในการปกป้องดินแดนและด้วยกำลังอาวุธในการจู่โจมศัตรู เพื่อมิให้ศัตรูพบจุดอ่อนและใช้จุดอ่อนนั้นเป็นเครื่องมือในการทำลายและละเมิดสิ่งต่างๆที่มีความสำคัญในศาสนา หรือเป็นเครื่องมือในการเข่นฆ่ามุสลิมหรือมุอาฮัด(ผู้ที่มีสนธิสัญญากับรัฐอิสลาม)
หก - ต่อสู้ทำญิฮาดกับผู้ที่ขัดขืนดื้อดึงในการตอบรับการเรียกร้องของอิสลามจนกว่าเขาจะรับอิสลามหรือเข้ามาในฐานะผู้มีสนธิสัญญากับมุสลิมเพื่อดำรงไว้ ซึ่งสิทธิของอัลลอฮฺในการเผยแผ่ศาสนาของพระองค์